อาร์เอส กรุ๊ป โชว์ผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2563 ทำกำไรนิวไฮ ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงต้นปี ต่อเนื่องมาจนถึงวิกฤติโควิด-19 ด้วยผลกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 186 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 184% จากไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ผลจากการชูทิศทางการดำเนินธุรกิจ สอดรับกับ New Normal หรือความปกติใหม่ พร้อมขับเคลื่อนโมเดล “Entertainmerce” เข้าสู่ธุรกิจสื่อและบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบ โดยเป็นการผสานธุรกิจ Entertainment ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำคอนเทนต์ ด้วยการเปลี่ยนผู้ชมหรือผู้ฟังให้กลายเป็นผู้ซื้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจ Commerce เติบโต เป็นการสนับสนุนและเชื่อมโยงธุรกิจในเครือเข้าด้วยกันอย่างแข็งแกร่งและเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้ อาร์เอส กรุ๊ป สามารถยืนหยัดและนำพาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นายวิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากการปรับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่งผลให้กำไรในไตรมาสแรกของปี 2563 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้รวม 985 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% และมีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 184% เทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 จากความสำเร็จในการมุ่งเน้นอัตราการทำกำไร และการสร้างรายได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้นในการใช้ชีวิตและหันมาใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ ธุรกิจ Commerce เติบโตขึ้นตามไปด้วย โดยมี RS Mall แพลตฟอร์มที่จำหน่ายสินค้าในหลากหลายช่องทาง ทั้งออนแอร์และออนไลน์ และบริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด ผู้ผลิตสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาพและความงาม เป็นแรงผลักให้ไตรมาสที่ 1 ธุรกิจ Commerce ทำรายได้รวม 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 โดยเป็นผลมาจากการขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางออนแอร์เพิ่มขึ้น ผ่านช่องผู้นำทีวีดิจิทัล ร่วมกับการทำโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้า อีกทั้งยังมีรายได้จากกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่เติบโตสูงขึ้น 30% ในขณะที่รายได้จากกลุ่มลูกค้าประจำก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน RS Mall มีฐานข้อมูลลูกค้าทะลุ 1.35 ล้านรายแล้ว ซึ่งบริษัทฯ ได้นำ Big Data มาวิเคราะห์และพัฒนาวิธีการนำเสนอสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย พร้อมกับการนำระบบ Predictive Dialing System (PDS) เข้ามาพัฒนาระบบเทเลเซลล์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่ธุรกิจสื่อเติบโตสวนกระแสภาพรวมอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว มีรายได้รวม 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2562 โดยเรตติ้งของช่อง 8 ปรับตัวดีขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในกลุ่มผู้ชมอายุ 15+ ซึ่งรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดได้แก่ รายการข่าว ละคร ซีรีส์ และรายการมวย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ช่อง 8 ได้นำกลยุทธ์เก้าอี้ 4 ขา มาใช้สร้างรายได้จากหลายช่องทางเพื่อค้ำจุนซึ่งกันและกัน ในส่วนของ “COOLfahrenheit” ภายใต้การดำเนินงานของ COOLISM ยังคงได้รับความนิยมอยู่ในอันดับ 1 ของกลุ่ม Easy Listening มีผู้ฟังวัยทำงานอายุ 20-44 ปี มากที่สุด และยังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการทุบทุกสถิติการฟังเพลงออนไลน์สูงสุดในรอบ 12 เดือน ด้วยการเข้าฟังมากสูงสุดกว่า 1.2 ล้านครั้งต่อชั่วโมง ในช่วงเวลาทำงาน Work from Home ตั้งแต่ 8.00-18.00 น. ปัจจุบัน ธุรกิจของ COOLISM เติบโตจากการขายสื่อโฆษณาบนคลื่นวิทยุและออนไลน์ และการจัดกิจกรรมร่วมกับผู้ฟังรายการ
ขณะที่ มาตรการ Work from Home ที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจเพลง ในเครืออาร์เอส กรุ๊ป จากการฟังและดาวน์โหลดผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น และจากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานแบบ Music Marketing ทำให้การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพ และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่ศิลปินสามารถวางแผนการสร้างผลงานได้ด้วยตนเอง รวมถึงการบริหารลิขสิทธิ์เพลงเพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มการจัดกิจกรรมทางการตลาด และคอนเสิร์ต ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีการจัดคอนเสิร์ต “D2B Infinity Fun2020” เข้ามาสนับสนุนจึงทำให้รายได้จากธุรกิจเพลงเพิ่มขึ้นด้วย”
ด้าน นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ใน ไตรมาสแรกของปี 2563 นับเป็นการเริ่มต้นปีที่แข็งแกร่ง ด้วยผลการดำเนินงานที่เกินคาดหมาย จากการที่เรามองโอกาสและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ จึงทำให้ธุรกิจของเราเติบโตมากกว่าที่จะได้รับผลกระทบ เรามีธุรกิจที่หลากหลาย และปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็วให้เข้ากับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบ New Normal โดยหลังจากนี้ โอกาสเติบโตทางธุรกิจของ อาร์เอส กรุ๊ป จะเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนกลยุทธ์ Entertainmerce เข้าไปในทุกธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ อาทิ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนนำส่งเงินรายปีลดลงสำหรับกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม สำหรับรายได้ตั้งแต่ปี 2562 รวมถึงยกเว้นค่าบริการโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล (Multiplexer หรือ MUX) เต็มจำนวนตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2563 เป็นต้นไป และยังมีการบริหารคอนเทนต์ให้เกิดประโยชน์ในตลาดใหม่ และบนแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้ปีนี้ได้ตามแผนที่วางไว้”