จากสถานการณ์การแพร่กระจายของโควิด-19 กลายเป็นโรคระบาดครั้งใหญ่ของโลกที่ส่งผลกระทบให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจไปทั่วโลก แต่ บริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป กลับปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และยังคงเติบโตสวนกระแสได้ตั้งแต่ต้นปี ดันยอดขาย commerce โตขึ้นทั้งทาง on air และ online นั่นเป็นเพราะ “Entertainmerce” ธุรกิจโมเดลใหม่ที่แตกต่าง ซึ่งผนวกทั้งธุรกิจ Entertainment และ Commerce เข้าด้วยกันอย่างแข็งแกร่งและเบ็ดเสร็จตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
โดยในปัจจุบัน RS GROUP แบ่งโครงสร้างธุรกิจเป็น 2 ส่วน คือ
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สัดส่วนธุรกิจในปัจจุบันของอาร์เอส กรุ๊ป แบ่งเป็น Commerce 60% และ Entertain & Media 40% เราเชื่อว่าใน 2 ปี Commerce จะโตขึ้นจนเป็น 80% แต่ไม่ได้หมายความว่า Entertain & Media จะไม่โตขึ้น แต่สัดส่วนการเติบโตของ Commerce จะโตเร็วกว่า เพราะด้วยมูลค่าตลาดที่ใหญ่กว่ามาก
“การที่เรามองโอกาสและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ จึงทำให้ธุรกิจของเราเติบโตมากกว่าได้รับผลกระทบในไตรมาสแรกของปี 2563 เพราะเรามีธุรกิจที่หลากหลายและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้รวดเร็ว”
ขณะนี้ RS Mall ซึ่งเป็นธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง (Multi Platform Commerce) ได้เข้าสู่การเป็น Virtual Mall ที่เข้าถึงผู้บริโภคทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งได้แก่ ช่องทางโทรทัศน์ช่อง 8 และช่องพันธมิตร ทั้งไทยรัฐ เวิร์คพอยท์ และอมรินทร์ทีวี รวมถึงช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ www.rsmall.co.th แอปพลิเคชั่น และสื่อโซเชียลมีเดีย โดยมีสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิต แต่สินค้ายอดนิยมอยู่ในหมวดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โดยปัจจัยที่ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้คือ
ส่วนสินค้าขึ้นแท่นโปรดักส์แชมเปี้ยน 3 อันดับแรกของ RS Mall เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพทั้งหมด ได้แก่ เอส.โอ.เอ็ม.คอร์ดี้ ทิเบต แอนด์ ภูฏาน (S.O.M. Cordy Tibet & Bhutan) กาแฟสำเร็จรูป เอส.โอ.เอ็ม.ซีแม็กซ์ (S.O.M. CMax) และเอส.โอ.เอ็ม.ไอแคร์ (S.O.M. i-Kare) อาหารเสริมบำรุงสายตา ซึ่งทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์มียอดขายประมาณการในไตรมาสแรกกว่า 150 ล้านบาท
สำหรับช่อง 8 นั้นด้วยคอนเทนต์คุณภาพครบรสที่ผู้ชมทั่วประเทศให้การยอมรับ โดดเด่นด้วยละครซีรี่ส์ รายการข่าวที่เข้มข้น จนถึงรายการมวยไทยที่ได้รับความนิยมจากแฟนมวยมากที่สุด โดยเน้นการบริหารคอนเทนต์สร้างรายได้จากช่องทางอื่นๆ เช่น YouTube, Facebook, Line TV และพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ โดยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563
ด้าน COOLfahrenheit สถานีเพลงไทยอันดับหนึ่งตลอดกาลจาก COOLISM ที่ครองใจผู้ฟังคนเมืองเสมอมา ด้วยจำนวนผู้ฟังผ่านระบบออนไลน์ 50 ล้านครั้งต่อเดือน ยอดผู้ฟังรวมเดือนละกว่า 1 พันล้านนาที ซึ่งในเร็วๆ นี้ COOLfarenheit จะชูคอนเซปต์ Music-Led Lifestyle ด้วยการทำ Podcast นำเสนอเรื่องราวไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ เช่น เพลง ความสวยงาม กีฬา สุขภาพ อาหาร ฯลฯ เพื่อเติมเต็มคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ให้ตรงใจผู้ฟังมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ธุรกิจเพลง ได้มีการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อยืนหยัดในยุคดิจิทัล โดยสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและต่อยอดความสัมพันธ์กับผู้บริโภคผ่านช่องทางใหม่ๆ ล่าสุดจับมือกับ LINE ประเทศไทย เปิดให้บริการ LINE Melody และ LINE STICKERS ซึ่ง LINE STICKERS คาแรคเตอร์ D2B มียอดดาวน์โหลดเป็นอันดับ 1 ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว อีกทั้งเพลงของ D2B ยังติดอันดับการค้นหาสูงสุดประจำเดือนกุมภาพันธ์ โดยเพลงที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ ไม่เปลี่ยนใจ (เธอคนเดียว), ซ่าส์...(สั่นๆ) และ ยังคิดถึงกัน (หรือเปล่า) และเตรียมปล่อย LINE Melody และ LINE STICKERS เซ็ต Kamikaze และเพลงอื่นๆ จากคลังเพลงอาร์เอสอีกมากมาย ซึ่งคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
นายสุรชัย กล่าวย้ำว่า “แม้สถานการณ์การแพร่กระจายของโควิด-19 ในปัจจุบันจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมหยุดชะงัก แต่จากวิสัยทัศน์ของ อาร์เอส และการทำธุรกิจภายใต้โมเดล ‘Entertainmerce’ ที่มีธุรกิจหลักที่แข็งแกร่งทั้งธุรกิจสื่อและธุรกิจเพลง และเราสามารถหลอมรวม synergy กันได้ดี ทำให้เราชนะและสำเร็จในธุรกิจ Commerce ได้เร็ว ถ้าพูดในแง่ value chain เรามีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำที่เราสามารถเข้าไปควบคุมและจัดการได้ตลอดกระบวนการ จึงส่งผลให้การ synergy ระหว่างต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ด้วยความแตกต่างและศักยภาพของทีมงาน เฮียมั่นใจว่าปี 2563 เราจะทำกำไรนิวไฮได้ตามเป้า” สามารถติดตามข่าวสารของ อาร์เอส กรุ๊ป ได้ทาง www.rs.co.th