" อาร์เอส " จัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ RS In-Store Media เพื่อรุกธุรกิจสื่อในโมเดิร์นเทรดทุกรูปแบบ หวังต่อยอดธุรกิจสื่อที่มีอยู่ในมือให้ครบวงจร ชี้เป็นธุรกิจที่มีอนาคตสดใส เล็งควักเม็ดเงิน 30 ล้าน งัดกลยุทธ์ชอปปิ้งไกด์เป็นตัวช่วยสร้างแบรนด์ P.O.P Radio ให้เป็นที่รู้จักและจดจำในวงกว้าง เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคเป็นหลัก มั่นใจปีแรกโกยยอด 70 ล้าน ขณะที่ปีหน้าตั้งเป้ารายได้ประมาณ 200-250 ล้าน เติบโต 200%
สยามพารากอน -นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ชื่อ บริษัท อาร์เอส อินสโตร์ มีเดีย จำกัด หรือ RSIM ด้วยทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นเป็นอาร์เอส 65% และกลุ่มผู้ประกอบการเดิมอีก35% เพื่อรุกธุรกิจบริหารสื่อในโมเดิร์นเทรดเต็มรูปแบบ ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจสื่อที่มีอยู่ในมือ ได้แก่ สื่อทีวี สื่อวิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุดรายหนึ่งในประเทศ
" ผมมองว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและยังมีแนวโน้มเติบโตอีกเยอะ โดยอิงจากการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ในแต่ละปีของโมเดิร์นเทรดแต่ละแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น บิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ต, คาร์ฟูร์ , เทสโก้ โลตัส , โลตัส เอ็กซ์เพรส และ ท็อป ซูเปอร์มาร์เก็ต ขณะเดียวกันยังมองว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางใหม่ ที่จะทำให้เราส่ง คอนเทนต์ อาทิ เพลง หนัง ละคร ซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงได้อย่างง่ายดาย ถือเป็นการเชื่อมต่อแต่ละธุรกิจของอาร์เอสให้แข็งแรงและเติมเต็มให้อาร์เอสเป็นเครือข่ายบันเทิง (The Entertainment Network) ตามที่ตั้งเป้าไว้อย่างลงตัว " นายสุรชัย กล่าว
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นบริษัทฯวางงบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและคุณภาพของเสียงขณะที่ตั้งงบทำตลาดและงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ไว้ประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อสร้างแบรนด์ให้เกิดการจดจำและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เน้นจับกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทฯ จะมีรายได้อยู่ที่ 70 ล้านบาท และปีถัดไปจะมีรายได้ประมาณ 200-250 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตประมาณ 200% เมื่อเทียบกับปี 50
" การรุกเข้าสู่ธุรกิจสื่อในโมเดิร์นเทรดครั้งนี้ ทำให้สายงานขายของอาร์เอสมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น คือ เดิมทีเรามีทั้งสื่อทีวี สื่อวิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งเป็นแมส มีเดียอยู่แล้ว แต่ขณะนี้เรามีสื่อในโมเดิร์นเทรดเข้ามาเสริมทัพ ยิ่งทำให้สอดรับกับโมเดลธุรกิจการขายใหม่ ที่เราเพิ่งปรับโครงสร้างไปเมื่อเร็วๆ นี้ มีความเป็นวัน สต๊อป เซอร์วิส ( One Stop Service ) พร้อมให้บริการลูกค้าแบบครบวงจรจุดเดียวเบ็ดเสร็จ ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกที่หลากหลาย และเกิดความสะดวกสบายในการวางกลยุทธ์ทำตลาดมากขึ้น " นายสุรชัย กล่าว
ด้าน นายวิญญลักษณ์ โสรัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอส อินสโตร์ มีเดีย จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารสื่อในโมเดิร์นเทรด เปิดเผยถึงแผนดำเนินธุรกิจว่า ในช่วงแรกบริษัทฯ จะใช้กลยุทธ์อีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง พร้อมชูคอนเซ็ปต์เป็นรายการวิทยุประเภทชอปปิ้งไกด์ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมกลุ่มผู้ฟังซึ่งมีวัตถุประสงค์เข้ามาเดินเลือกซื้อสินค้ามาเป็นตัวช่วยสร้างแบรนด์ P.O.P Radio ให้เกิดการจดจำและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในฐานะผู้บริหารสื่อวิทยุในโมเดิร์นเทรดแต่เพียงผู้เดียว
"P.O.P Radio เป็นสื่อวิทยุกระจายเสียงในโมเดิร์นเทรดตลอด 12 ชั่วโมงต่อวัน ที่เข้าถึงกลุ่มผู้ฟังมากที่สุด เพราะมีการนำเสนอกิมมิคแตกต่างจากรายการวิทยุทั่วไป โดยชูคอนเซ็ปต์เป็นรายการวิทยุแนวชอปปิ้งไกด์ ที่มีดีเจเป็นคนพูดให้ข้อมูลต่างๆ กับผู้ฟัง เช่น สภาพเส้นผมแต่ละประเภทต้องดูแลใส่ใจอย่างไรให้สลวย สวย และเงางาม พร้อมถือโอกาสแนะนำสินค้าใหม่ หรือสินค้ายี่ห้อต่างๆ ได้ ทำให้ลูกค้าสามารถมาจัดโปรโมชั่นลด-แลก-แจก-แถมคืนกำไรให้ลูกค้าโดยตรงกับเราได้ อีกทั้งยังใช้ระบบเสียง Auto Audio Sound ( AAS )ที่ให้เสียงคมชัดอีกด้วย " นายวิญญลักษณ์ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้บริหารสื่อวิทยุในโมเดิร์นเทรดทั้ง 5 แบรนด์แต่เพียงผู้เดียวกว่า 540 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ทั่วไทย 51 จังหวัด และในอนาคตแต่ละแบรนด์ต่างมีแผนขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นสื่อเดียวในโมเดิร์นเทรดที่เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด เนื่องจากมีการกระจายเสียงทั่วทุกบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นขณะกำลังเลือกซื้อสินค้า, ระหว่างชำระเงินที่แคชเชียร์ หรือแม้แต่ในห้องน้ำและลานจอดรถ ขณะที่ผลจากการวิจัยระบุว่า มีคนเข้ามาเดินเลือกซื้อสินค้าในโมเดิร์นเทรดทั้ง 5 แบรนด์ประมาณ 21 ล้านต่อเดือน โดยเทียบเคียงจากจำนวนใบเสร็จ 31 ล้านใบต่อเดือน และมีอัตราเติบโตต่อเนื่องประมาณ 8-10% ต่อปี โดยระบุถึงพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่กว่า 70% ตัดสินใจซื้อสินค้า ณ จุดขาย
" เราได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าและเอเจนซี่จำนวนมาก เนื่องจากเราคิดอัตราค่าโฆษณาเป็นแพคเกจที่หลากหลายแบบให้ลูกค้าเลือก ซึ่งส่วนใหญ่วางแผนซื้อสื่อขั้นต่ำ 6 เดือนถึง 1 ปี โดยลูกค้าสามารถเลือกความถี่ในการยิงสปอตต่อชั่วโมงได้ เช่น บางรายชอบถี่น้อยก็ยิงประมาณ 2 ครั้งต่อชั่วโมง จะมีราคาหลักแสนบาทต่อเดือน ขณะที่ลูกค้ารายชอบถี่มากก็จะยิงประมาณ 8 ครั้งต่อชั่วโมง จะมีราคาหลักล้านบาทต่อเดือน แต่ส่วนใหญ่จะเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ครั้งต่อชั่วโมง ซึ่งขณะนี้มีเจ้าของสินค้าสนใจซื้อโฆษณาเกือบเต็มแล้ว เพราะเราขายโฆษณาอยู่กับสินค้าที่จำเป็นและของใช้ประจำวันต่อให้เศรษฐกิจไม่ดี แต่คนก็ยังต้องใช้ของเหล่านี้ " นายวิญญลักษณ์ กล่าวทิ้งท้าย